5 รสชาติ อาหาร มีอะไรบ้าง (ไม่นับความเผ็ด เพราะเกิดจากการร้อน)

5 รสชาติ อาหาร มีอะไรบ้าง (ไม่นับควมเผ็ด เพราะเกิดจากการร้อน)

สารบัญเนื้อหา

รสชาติ ไม่ใช่รสชาด

คนมักจะเขียนผิดจากรสชาติเป็นรสชาดกันเป็นประจำ แต่ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้บัญญติไว้ว่า รสชาติ เป็นคำที่ใช้เรียก รส หรือสิ่งที่คนได้รับ รู้สึก ผ่านลิ้น
คำว่ารสชาดไม่มีความหมาย แต่คำว่า ชาด เฉยๆ มีความหมายถึงวัตถุสีแดง เช่น กุหลาบสีชาด หรือ กุหลาบสีแดงนั่นเอง

5 รสชาติ อาหาร มีอะไรบ้าง

5 รสชาติ อาหาร มีอะไรบ้าง

ลิ้นของมนุษย์สามารถรับรู้ รสชาติ อาหารพื้นฐานได้ 5 รส ได้แก่ หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และรสอูมามิ ต่อมรับรสจะรับรู้รสชาติเหล่านี้อยู่ที่ผิวลิ้นและบริเวณอื่นๆ ของปาก
นอกจากรสชาติพื้นฐานทั้งห้านี้แล้ว ลิ้นยังสามารถรับรู้รสชาติอื่นๆ ที่หลากหลายตามการผสมผสานและความเข้มของรสชาติต่างๆ

และการมีอยู่ของสารเคมีบางชนิดในอาหารและเครื่องดื่ม ความรู้สึกของรสชาติเป็นการผสมผสานระหว่างรสชาติและกลิ่น และได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่น เนื้อสัมผัสและอุณหภูมิของอาหารหรือเครื่องดื่ม
โดยรวมแล้ว ลิ้นของมนุษย์สามารถตรวจจับรสชาติได้หลากหลาย และจำนวนของรสชาติต่างๆ ที่สัมผัสได้ก็แทบจะไร้ขีดจำกัด

รสชาติ หวาน

ถ้าถามว่าใน รสชาติ อาหาร 5 รสชาติ คนชออบรสสไหนมากที่สุด คงจะหนีไม่พ้นรสหวาน ความสามารถในการลิ้มรสรสหวานทำให้สามารถระบุแหล่งที่มาของอาหารที่อุดมด้วยพลังงาน เนื่องจากรสหวานมักเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีแคลอรีสูง
อย่างไรก็ตาม การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องบริโภคอาหารหวานในปริมาณที่พอเหมาะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทานอาหารที่สมดุล
รสหวานสามารถพบได้ในอาหารทั่วไป รวมทั้งผลไม้ ของหวาน และเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ตัวอย่างของอาหารที่มีรสหวาน ได้แก่ แอปเปิ้ล กล้วย องุ่น ไอศกรีม คุกกี้ และเค้ก

ทานหวานมากไป จะเกิดอะไรขึ้น

การกินน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณได้หลายอย่าง
หนึ่งในข้อกังวลหลักเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปคือ อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและเป็นโรคอ้วน น้ำตาลให้แคลอรีมากแต่สารอาหารน้อยมาก ดังนั้นน้ำตาลจึงอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้หากทานมากเกินไป

การกินน้ำตาลมากเกินไปยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งทำลายความสามารถของร่างกายในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากยังทำให้ฟันผุและปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ ได้อีกด้วย น้ำตาลสามารถเลี้ยงแบคทีเรียในปาก ซึ่งสามารถผลิตกรดที่สามารถกัดกร่อนสารเคลือบฟันและนำไปสู่ฟันผุได้

การกินน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อโภชนาการโดยรวมของคุณ เนื่องจากจะไปแทนที่อาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นในอาหารของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องบริโภคอาหารที่หลากหลายซึ่งรวมถึงอาหารประเภทต่างๆ อย่างสมดุลเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี

รสชาติ เปรี้ยว

รสเปรี้ยวมักถูกมองว่าเป็นกรด และมักเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีความเป็นกรดสูง ความสามารถในการลิ้มรสรสเปรี้ยวช่วยให้สามารถระบุอาหารที่เน่าเสียหรืออาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากรสเปรี้ยวมักเกี่ยวข้องกับอาหารที่เสียหรือมีสารพิษ อย่างไรก็ตาม รสเปรี้ยวยังสามารถเพิ่มรสชาติและความน่าสนใจให้กับอาหารและมักใช้ในการปรุงอาหารและการเตรียมอาหารได้
รสเปรี้ยวสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด รวมถึงผลไม้ (เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว เบอร์รี่ และสโตนฟรุต) อาหารหมักดอง (เช่น ผักดอง กะหล่ำปลีดอง และโยเกิร์ต) และลูกอมรสเปรี้ยว

ทานเปรี้ยวมากไป จะเกิดอะไรขึ้น

การทานอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน แสบร้อนกลางอก และปวดท้อง เนื่องจากอาหารรสเปรี้ยวสามารถเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้เยื่อบุของระบบย่อยอาหารระคายเคืองและทำให้ไม่สบายได้

การกินอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไปอาจทำให้ค่า pH ในปากลดลง ซึ่งอาจทำให้สารเคลือบฟันสึกกร่อนและฟันผุได้

รสชาติ เค็ม

รสเค็ม 1 ในรสชาติ อาหารที่คนติด หรือ เรียกกันว่าติดเค็ม ความเค็มมักเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีเกลือสูง เชื่อกันว่าความสามารถในการรับรสเค็มช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่มาของแร่ธาตุที่จำเป็นได้ เนื่องจากเกลือเป็นสารอาหารที่สำคัญซึ่งจำเป็นต่อการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม การบริโภคเกลือมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีรสเค็มในปริมาณที่พอเหมาะจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทานอาหารที่สมดุล
รสเค็มสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายประเภท รวมถึงอาหารแปรรูปและอาหารบรรจุภัณฑ์ (เช่น ขนมขบเคี้ยว แครกเกอร์ และซุปกระป๋อง) เนื้อสัตว์ (เช่น เบคอนและเนื้อสำเร็จรูป) และเครื่องปรุงรส (เช่น ซอสถั่วเหลืองและซอสมะเขือเทศ)

ทานเค็มมากไป จะเกิดอะไรขึ้น

ข้อกังวลของการบริโภคเกลือมากเกินไปคือ เกลือสามารถนำไปสู่ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด การบริโภคเกลือมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาตรของเลือดในระบบไหลเวียนโลหิต และทำให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานหนักขึ้น

การกินเกลือมากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น ไตเสียหายและโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ การบริโภคเกลือในปริมาณมากยังทำให้คุณรู้สึกกระหายน้ำ ซึ่งจะนำไปสู่การดื่มน้ำมากขึ้นและปริมาณปัสสาวะที่ผลิตออกมาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำคัญคือต้องบริโภคอาหารที่สมดุลซึ่งมีอาหารหลากหลายชนิดและไม่มีเกลือสูงเกินไป ปริมาณเกลือที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือน้อยกว่า 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน และโดยทั่วไปแนะนำให้บริโภคไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณมีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงหรือได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ให้จำกัดเกลือของคุณ ปริมาณ

รสชาติ ขม

รสขม รสชาติ อาหารที่คนไม่ชอบมากที่สุด รสขมมักจะถูกมองว่าไม่อร่อยและมักเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีสารพิษหรือสารประกอบที่อาจเป็นอันตรายอื่นๆ
ความสามารถในการรับรสขมมีไว้เพื่อช่วยให้หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจเป็นอันตรายหรือเป็นพิษได้ แต่อย่างไรก็ตาม รสขมยังสามารถเพิ่มรสชาติและความน่าสนใจให้กับอาหารได้ และมักใช้ในการปรุงอาหารและเตรียมอาหาร ตัวอย่างของอาหารรสขมที่ถือว่าดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ ดาร์กช็อกโกแลต ผักใบเขียว และกาแฟ
รสขมสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด รวมถึงผัก (เช่น กะหล่ำดาว บรอกโคลี และคะน้า) กาแฟ และช็อกโกแลตบางประเภท รสขมมักพบในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ และบิตเทอร์

ทานขมมากไป จะเกิดอะไรขึ้น

การกินอาหารที่มีรสขมมากเกินไปไม่น่าจะมีผลเสียต่อสุขภาพ อาหารที่มีรสขมบางชนิด เช่น ผักในตระกูลบราซิกา (เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี คะน้า) อาจมีฤทธิ์เป็นยาระบายเล็กน้อยหากบริโภคในปริมาณมาก แต่มักไม่เป็นสาเหตุที่น่าห่วง

สำคัญคือต้องทานอาหารที่หลากหลายซึ่งรวมถึงอาหารประเภทต่างๆ อย่างสมดุล แทนที่จะบริโภคอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าคุณได้รับสารอาหารที่หลากหลายและไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารของคุณได้รับอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป

โดยทั่วไปถือว่าอาหารที่มีรสขมนั้นดีต่อสุขภาพ เนื่องจากอาจมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบที่เป็นประโยชน์อื่นๆ ตัวอย่างของอาหารที่มีรสขม ได้แก่ ดาร์กช็อกโกแลต กาแฟ และผักใบเขียว

รสชาติ อูมามิ

อูมามิมักถูกอธิบายว่าเป็นรสชาติที่ “เผ็ด” หรือ “เนื้อ” และโดยทั่วไปมักถูกมองว่าน่าอร่อยและไม่อร่อย
ความสามารถในการลิ้มรสรสอูมามิช่วยให้มนุษย์สามารถระบุแหล่งที่มาของโปรตีนและสารอาหารอื่นๆ ได้ รสอูมามิมักเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีโปรตีนและกรดอะมิโนสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพที่ดี
รสอูมามิสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด รวมถึงอาหารหมักดอง (เช่น ซอสถั่วเหลือง มิโซะ และชีส) เนื้อสัตว์ และผักบางชนิด (เช่น มะเขือเทศ เห็ด และหน่อไม้ฝรั่ง)

ทานอูมามิมากไป จะเกิดอะไรขึ้น

การกินอาหารที่มีรสอูมามิมากเกินไปไม่น่าจะมีผลเสียต่อสุขภาพ อาหารบางชนิดที่มีอูมามิสูง ได้แก่ อาหารหมักดอง (เช่น ซอสถั่วเหลือง มิโซะ และชีส) เนื้อสัตว์ และผักบางชนิด (เช่น มะเขือเทศ เห็ด และหน่อไม้ฝรั่ง) อาหารเหล่านี้สามารถนำไปสู่รสชาติโดยรวมและความอร่อยของมื้ออาหาร และอาจเป็นส่วนหนึ่งของอาหารเพื่อสุขภาพก็ได

เผ็ด ไม่ใช่รสชาติ อย่าเข้าใจผิด

ความเผ็ดไม่ใช่หนึ่งในห้ารสชาติพื้นฐานที่ลิ้นมนุษย์สามารถรับรู้ได้ รสพื้นฐานทั้ง 5 คือ หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และอูมามิ
รสเผ็ดเป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้ผ่านการสัมผัสและอุณหภูมิ รสเผ็ดมักเกี่ยวข้องกับการมีอยู่ของสารเคมีบางชนิด เช่น แคปไซซินในพริก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนหรือรู้สึกเสียวซ่าที่ลิ้นและส่วนอื่นๆ ของปาก
บางคนอาจไวต่อผลกระทบของอาหารรสเผ็ด และอาจรู้สึกไม่สบายหรือมีปัญหาทางเดินอาหารได้ เช่น กรดไหลย้อน เพราะ ความเผ็ดทำให้หูรูดหลอดอาหารคลายตัว จนเกิดเป็นกรดไหลย้อน นอกจากนี้ยังทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ระคายเคืองปาก คอ และอาจเกิดการแพ้จนเกิดอาการ บวม หายใจลำบาก หรือ เป็นลมพิษได้

คอมเมนต์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ